babyfun RSS
เสียงเพลง เสียงดนตรี สำคัญกับลูกน้อยอย่างไร
เสียงดนตรี เสียงเพลง หรือบทเพลงต่างๆ นั้น เป็นเสียงที่มีอยู่ในทุกๆ ช่วงวัย พูดไม่ได้ว่าเราจะขาดเสียงเพลงไปไม่ได้เลย ในแต่ละช่วงวัย เสียงเพลง เสียงดนตรี คือท่วงทำนองในการบรรเลงควบคู่ไปกับจังหวะชีวิต ตอนเด็กที่เพิ่งออกจากท้องแม่ ก็ได้ยินเสียงเพลงกล่อมเด็ก เสียงเพลงกล่อมนอน หรือแม้แต่เพลงกล่อมเด็กที่ออกมาจากปากของแม่ พอช่วงวัยที่เริ่มเป็นเด็กเล็กก็เปลี่ยนเป็นเพลงที่มีเนื้อร้อง มีทำนองที่สนุกสนานดึงดูดความสนใจขึ้นมาหน่อย เมื่อวัยเริ่มผ่านไปถึงช่วงวัยว้าวุ่น เริ่มมีความรัก บทเพลงที่ฟังก็เริ่มเปลี่ยนไป เมื่อใดที่รักนั้นพ้นผ่านไป บทเพลงที่ฟังนั้นก็เริ่มเศร้าลง บทเพลง เสียงเพลง ดนตรีบรรเลง ต่างก็อยู่กับเราในทุกๆ ช่วงอายุจริงๆ ดังนั้นเราจะมาพูดถึงเรื่องของเสียงเพลง หรือเสียงดนตรี ในช่วงวัยแรกเกิด หรือวัยทารก จริงๆ แล้วเด็กนั้นจะได้ยินเสียงมาตั้งแต่ในท้องแม่ สังเกตุได้จากที่เรานั้นสามารถใช้เครื่องมือที่ช่วยฟังเสียงของลูกในท้องตัวเองได้ และบางเครื่องมือสามารถทำให้แม่และลูกในท้องนั้นได้ยินเสียงของกันและกัน และสามารถทำให้คุณแม่ฟังเพลงไปพร้อมกับลูกน้อยในท้องได้อีกด้วย ซึ่งเราสามารถใช้จุดนี้มาเป็นข้อดีในเรื่องของการกระตุ้นการรับรู้ของเด็กตั้งแต่อยู่ในท้องเลยก็ได้ จากเมื่อก่อนนั้นเวลาที่คุณแม่ตั้งครรภ์ มักจะร้องเพลงกล่อมเด็ก หรือคุยกับลูกน้อยในท้องเบาๆ จากนั้นก็รอดูการตอบสนองต่อเสียงที่เราส่งไปถึงลูกในท้อง อาจจะตอบกลับมาด้วยการดิ้นของเด็กในท้อง เพราะเขาได้ยินเสียงเรา เสียงของแม่คือสิ่งเร้าที่จะทำให้ลูกนั้นดิ้นเพื่อตอบสนองนั่นเอง เด็กบางคนอาจจะเตะ ต่อย ดิ้นรุนแรงเมื่อเขาได้ยินเสียงของแม่ นั่นก็คือการตอบสนองต่อเสียงกับเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์ แต่ในปัจจุบันนั้น มีเสียงดนตรี มีเสียงเพลงกล่อมเด็ก มีดนตรีบรรเลง สำหรับเปิดให้เด็กฟังตั้งแต่อยู่ในท้องแม่แล้ว ก็สามารถเปิดให้ลูกน้อยในท้องฟัง เพื่อกระตุ้นการรับรู้ของลูกน้อยได้ หลังจากที่ใช้เสียงเพลงกระตุ้นการรับรู้ของลูกน้อยในท้องแล้ว เมื่อลูกน้อยออกมาดูโลกใบใหญ่นี้ เสียงเพลงยังเป็นสิ่งสำคัญต่อพวกเขาอย่างต่อเนื่อง ไปดูกันว่า เสียงเพลงแต่ละจังหวะนั้น สำคัญต่อลูกน้อยอย่างไร เสียงเพลงในช่วงก่อนนอน เสียงเพลงที่เราจะใช้เปิดให้ลูกฟังในช่วงก่อนนอนนั้น สามารถเปิดจังหวะช้าๆ ให้ลูกฟังได้ จะเป็นเพลงบรรเลง หรือเสียงดนตรีก็ได้ หรือจะเป็น ซิมโฟนีท่อนที่ 2 โมสาร์ท หรือเพลงของนักดนตรีชื่อดัง ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของเสียงเพลงกล่อมเด็กก็ได้ เพราะเสียงเหล่านี้จะมีคลื่นเสียงทำให้คลื่นสมองนั้นพัฒนา ทำให้เซลล์ประสาทของเด็กนั้นทำงานได้ดียิ่งขึ้น ทำให้เด็กมีสมาธิ ทำให้เกิดการพัฒนาการเรียนรู้ที่ดีต่อไป เสียงเพลงในช่วงที่ลูกตื่น...
เรื่องจริงของสมองลูก
การเลี้ยงดูลูกให้เติบโตอย่างเเข็งแรง ร่าเริงแจ่มใสและมีความฉลาดล้ำเป็นเลิศ คือสิ่งที่คุณแม่ทุกคนปรารถนา และโดยเฉพาะเรื่องความฉลาดของลูก หากคุณแม่เข้าใจการทำงานของสมองเด็ก จะพบว่าความสามารถในการเรียนรู้ของลูกนั้นสร้างได้ตั้งแต่แรกเกิด และมีข้อมูลที่น่าสนใจจาก รองศาสตราจารย์แพทย์หญิงทิพวรรณ หรรษคุณาชัย กุมารแพทย์ด้านพัฒนาการเด็ก ท่านได้ให้ความรู้เกี่ยวกับการทำงานของสมองเด็กไว้ว่า “เด็กทุกคนเกิดมาพร้อมกับหนึ่งแสนล้านเซลล์สมอง ซึ่งทั้งหมดเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายวงจรและสามารถเพิ่มจำนวนมากขึ้นเมื่อถูกกระตุ้น ทั้งนี้การเชื่อมต่อสามารถเกิดได้สูงถึง 1,000 ล้านล้านครั้งในระยะเวลาแรกเกิดถึงห้าปีแรกของลูก ช่วงวัยนี้จึงเป็นระยะเวลาที่สำคัญที่สุดในการเรียนรู้ และเมื่อพ้นช่วงวัยนี้ไปแล้ว จะไม่มีการเพิ่มเซลล์สมอง แต่เป็นการพัฒนาโครงข่าย ส่วนเซลล์สมองที่ไม่ได้รับการกระตุ้นก็จะเสื่อมสลายไป ดังนั้นการสร้างทุกนาทีให้เป็นการเรียนรู้ของลูก (Non-Stop Learning) จึงเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องช่วยกันส่งเสริมในโอกาสทองนี้” และสิ่งที่น่าสนใจ 7 เรื่องเกี่ยวกับสมองถัดไปนี้ จะช่วยให้คุณแม่เข้าใจแนวทางในการส่งเสริมการเรียนรู้ เพื่อสร้างความเป็นอัจฉริยภาพของลูกน้อย 1.การสัมผัสและการหัวเราะช่วยพัฒนาสมอง ช่วงแรกเกิดเป็นช่วงที่เส้นใยประสาทของลูกกำลังก่อตัว การกอด การสัมผัส สบตา รวมถึงพูดคุยกับลูก ให้เค้ามีความสุข ได้หัวเราะ จะช่วยเพิ่มสารอ๊อกซิโตซินและเอนดอร์ฟินในสมอง ทำให้เป็นเด็กที่มีสุขภาพจิตดี สมองทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ในการตรงกันข้าม มีผลสำรวจที่ค่อนข้างน่าตกใจว่า เด็กที่ไม่ค่อยได้เล่น ไม่ได้รับการสัมผัสจากพ่อแม่ จะมีสมองขนาดเล็กกว่าเด็กปกติ 20-30% 2.สมองเรียนรู้จากการเลียนแบบ ในสมองของเด็กจะมีเซลล์ชนิดหนึ่ง ชื่อว่า “เซลล์สมองกระจกเงา” (Mirror Neuron) ซึ่งเป็นเซลล์ที่สามารถตอบสนองต่อพฤติกรรมการเรียนรู้ต่างๆ ผ่านการเรียนรู้ การสังเกต และเลียนแบบผู้อื่น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณแม่เป็นคนใฝ่รู้ ชอบอ่านหนังสือ ภาพเหล่านี้ก็สะท้อนเข้าไปในสมองของลูก ส่งผลให้เค้าเป็นเด็กที่ชอบเรียนรู้ เช่นกัน เพราะสำหรับลูกน้อยแล้ว กระจกเงาการเรียนรู้ที่ใกล้ตัวที่สุดก็คือคุณแม่นั่นเอง 3.อารมณ์ส่งผลต่อศักยภาพในการเรียนรู้ ร่างกายของลูกช่างน่าอัศจรรย์ หากเค้ามีความสุข ร่างกายจะหลั่งสารเคมีในสมองที่ช่วยกระตุ้นให้เรียนรู้และจดจำได้ดี ในทางกลับกัน หากคุณแม่เป็นคนหงุดหงิดง่าย เลี้ยงลูกด้วยอารมณ์ ทำให้เด็กมีความเครียดหรือซึมเศร้า อารมณ์เชิงลบทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลให้ความสามารถในการเรียนรู้ของสมองลดลง 4.การเล่นช่วยพัฒนาความเป็นอัจฉริยะ การเล่นกับลูก คือวิธีที่ง่ายที่สุดที่คุณแม่จะช่วยสร้างความฉลาดให้ลูกน้อย เคล็ดลับอยูที่เลือกการเล่นให้เหมาะสมกับพัฒนาการตามวัย ประสบการณ์ที่ลูกน้อยได้จากการเล่น ทั้งการจับ การหยิบ การสัมผัส ล้วนส่งผลต่อการพัฒนาสมองในทุกๆ ด้าน อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นใยสมองและจุดเชื่อมต่อในสมองให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสิ่งนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาความเป็นอัจฉริยะของลูก 5.การอ่านหนังสือช่วยกระตุ้นเซลล์สมอง เมื่อเด็กอ่านหนังสือ เซลล์สมองจะมีการเชื่อมต่อและแตกแขนงออกไป เกิดกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาประสาทสัมผัสต่างๆ โดยเฉพาะทางตาและทางหู ส่งผลให้เด็กที่ชอบอ่านหนังสือมีความชาญฉลาดและสามารถเรียนรู้ได้อย่างดีเยี่ยม 6.ขนาดสมองเท่ากันแต่ความฉลาดต่างกัน ถ้าเปรียบเทียบสมองของเด็กสองคน แม้ว่าจะมีขนาดสมองเท่ากัน แต่กลับมีฉลาดแตกต่างกัน นั่นเป็นเพราะปริมาณการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์สมอง คุณแม่สามารถส่งเสริมให้เซลล์สมองของลูกเกิดการเชื่อมต่อได้ตั้งแต่แรกเกิดด้วยการให้นมแม่ เพราะนมแม่มีสารอาหารที่ดีต่อสมองอยู่มากมาย เช่น...
เทคนิคการกล่อมเด็กให้หลับง่าย
สิ่งที่สำคัญที่สุดขอวัยเด็ก ก็คือ การนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอ ถึงแม้บางเวลา สภาพอากาศหรือสิ่งแวดล้อมอาจทำให้ลูกน้อยไม่สบายตัว แต่อย่ากังวลไปค่ะ เรามีเทคนิคกล่อมเด็กมากมายมาฝากคุณพ่อคุณแม่ เพื่อให้ลูกน้อยนั้นหลับง่ายกว่าเิดิมค่ะ เทคนิคการกล่อมเด็กให้หลับง่าย ควบคุมระดับเสียงในบ้าน ไม่ให้มีเสียงดังจนเกินไป เปิดเพลงกล่อมเด็กเบาๆซึ่งเป็นการกล่อมเด็กให้นอนได้ดีไม่น้อย การให้ความรักความอบอุ่นกับลูกน้อย ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะทำให้เด็กคุ้นเคยกับคุณพ่อคุณแม่ ลูบบนร่างกายของเด็ก บริเวณท้ายทอย บริเวณหน้าผากจะช่วยให้เด็กนอนหลับได้เร็วขึ้น ไกวเปล ช่วยทำให้เด็กนอนหลับได้ง่ายโดยเพิ่มตัวช่วยด้วยการแขวนโมบายไว้ด้านบน หยดน้ำหอมที่คุณแม่ใช้เป็นประจำ ที่มุมของผ้าห่มของเด็กจะช่วยให้เด็กหลับได้ เพราะเด็กจะรู้สึกถึงความอบอุ่นเหมือนคุณแม่อยู่ใกล้ๆตลอดเวลา เหน็บชายผ้าห่มให้รัดตัวเด็ก จะช่วยให้เด็กรู้สึกอบอุ่นเหมือนกับอยู่ในครรภ์มารดาวิธีนี้ช่วยให้เด็กนอนหลับได้อย่างยาวนาน ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.care.co.th รูปภาพจาก http://www.vcharkarn.com
สีสำหรับห้องนอนเด็ก ไว้สำหรับเป็นไอเดียตกแต่งห้องนอนให้ลูกน้อยนะค่ะ
สีฟ้า ช่วยกระตุ้นจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ สีแดง ดึงดูดความสนใจให้มุ่งมั่นในรายละเอียดทำให้มีสมาธิและสนใจในรายละเอียด สีชมพู เป็นสีที่มีลักษระปลอบประโลมให้จิตใจและความรู้สึกต่างๆสงบลงในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกของการมีน้ำใจดี จิตใจกว้างขวาง อบอุ่นและทะนุถนอมสีส้ม เป็นสีแห่งความเบิกบานและความรื่นเริ่งเป็นความรู้สึกที่อิสระและได้รับการปลดปล่อยสีขาว เป็นสีที่หมายถึงความบริสุทธิ์อย่างยิ่ง จัดอยู่ในกลุ่มของการปกป้อง สร้างสันติ สบาย ช่วยบรรเทาอารมณ์ตกใจหรือหวาดวิตก ส่งเสริมให้จิตใจสะอาดบริสุทธิ์ มีพลังทางความคิดและจิตใจขอบคุณข้อมูลจาก www.ตกแต่งบ้าน.net
ชวนคุณแม่มาใช้กางเกงฝึกขับถ่ายให้กับลูกน้อยกันค่ะ
กางเกงฝึกขับถ่าย ลาย Helicopter จาก Pop-in Size S-XL มาลองดูข้อดีของการฝึกกันนะค่ะ การเริ่มฝึกให้ลูกใช้ห้องน้ำ คุณแม่อาจเลือกใช้เป็นกระโถนให้เขานั่ง หรืออาจหาฝารองชักโครกสำหรับเด็ก เพราะเด็กบางคนชอบที่จะมีกระโถนเป็นของตนเองในขณะที่บางคนชอบนั่งชักโครกแบบผู้ใหญ่ ซึ่งคุณแม่สามารถหาฝารองนั่งชักโครกสำหรับเด็กมาให้เค้านั่งได้ ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเห็นว่าเด็กเริ่มไม่อยากนั่งกระโถนก็ลองเปลี่ยนให้นั่งชักโครกโดยใช้ฝารองนั่งชักโครกแทน (หรือสลับกัน) เมื่อคุณแม่คิดว่า ลูกน้อยของคุณพร้อมแล้วสำหรับการฝึกการใช้ห้องน้ำ ก็ควรอธิบายให้ลูกเข้าใจว่า ต่อไปนี้ถ้าลูกไม่ได้ใส่ผ้าอ้อมแล้วเวลาจะปัสสาวะก็ต้องนั่งกระโถนแทน และเนื่องจากผ้าอ้อมสำเร็จรูปช่วยปกป้องความชื้น ดังนั้น ในตอนเริ่มต้นคุณอาจใช้ผ้าอ้อมชนิดพิเศษแบบ “Wetness liners” ที่ทำให้ลูกรู้สึกถึงความเปียกชื้นบ้างเพื่อเขาจะได้รู้สึกเหนอะหนะและรำคาญ แต่คุณแม่ต้องระวังไม่ให้เกิดผื่นแดงจากผ้าอ้อมและความชื้น อาจลองใช้ขี้ผึ้งที่ช่วยป้องกันผื่นแพ้จากความชื้นและการระคายเคืองให้กับเขาด้วย กางเกงฝึกขับถ่าย ลาย Tulip จาก Pop-in Size S-L คุณแม่อาจจะเปลี่ยนวิธีโดยลองให้ลูกคุณใส่กางเกงในเพื่อฝึกสอนการใช้ห้องน้ำ แต่ว่า อาจจะต้องเจอกับปัญหาที่ลูกคุณขับถ่ายออกมาก่อนที่จะเข้าห้องน้ำทัน เมื่อคุณเปลี่ยนมาให้ลูกใส่กางเกงในแทนผ้าอ้อมสำเร็จรูป สัญญาณต่อไปนี้แสดงให้เห็นว่าลูกคุณพร้อมแล้วที่จะเปลี่ยนมาใส่กางเกงในแทนผ้าอ้อมสำเร็จรูป • ถอดกางเกงและผ้าอ้อมออกได้โดยไม่ต้องให้คุณช่วย • รู้ตัวว่าต้องการจะปัสสาวะหรือต้องการถ่ายอุจจาระ (ในเวลาที่ใส่ผ้าอ้อม) และสามารถบอกคุณแม่ได้ • สังเกตเห็นคุณแม่หรือคนในครอบครัวใช้ห้องน้ำ • อยากนั่งและพยายามใช้กระโถน เมื่อคุณแม่สังเกตเห็นว่า ลูกน้อยรู้ว่าเขาควรจะทำอย่างไรถ้าไม่ได้ใส่ผ้าอ้อมแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ คุณแม่ควรจะสอนให้ลูกสวมกางเกงใน โดยอธิบายให้ลูกคุณเข้าใจว่า เขากำลังจะได้ใส่กางเกงในเหมือนเด็กโตๆ และให้โอกาสเขาได้เลือกกางเกงในที่อยากจะใส่เองเพื่อที่เขาจะได้รู้สึกว่ามีส่วนร่วม แต่คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงการสอนเวลาที่เด็กกำลังเจอการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเขา เช่น เวลาที่ย้ายไปอยู่ที่ใหม่ หรือการที่มีน้องที่เกิดใหม่อยู่ในบ้าน เป็นต้น คุณแม่ควรเลือกเวลาที่เด็กคุ้นเคยกับชีวิตประจำวันแล้ว ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.anmum.com/th/main.aspx?sid=2298&sva=6