ตั้งครรภ์, ไตรมาส2 -

เคล็ดลับแก้หน้าท้องหย่อน ย้อย และลายหลังคลอด

เคล็ดลับแก้หน้าท้องหย่อน ย้อย และลายหลังคลอด
โดย น.พ.อานนท์ เรืองอุตมานันท์

ความสุขจากการรอคอยที่จะได้เห็นหน้าลูก ทำให้แม่ตั้งครรภ์ลืมความกังวลใจเกี่ยวกับตัวเองไปได้ชั่วขณะ แต่หลังจากนั้น พอมีโอกาสไปยืนหน้ากระจก หน้าท้องสวยๆที่แสนภูมิใจ ตอนนี้กลับมีสารพันปัญหาทั้งหน้าท้องหย่อน หน้าท้องย้อย หน้าท้องลาย
แต่เรื่องราวของหน้าท้องตอนคุณแม่ท้อง ไม่ได้เลวร้ายเป็นอย่างนี้ทุกคนหรอกครับ ถ้าเราดูแลตัวเองดี ปฏิบัติตัวดีเรื่องราวของหน้าท้องก็สามารถจบลงแบบสวยๆ ได้ไม่ยาก


ปกติแล้วหน้าท้องของคุณแม่จะเริ่มโตออกมาให้เห็นเมื่อตั้งครรภ์ได้ประมาณ 3 เดือน ก่อนหน้านั้นมดลูกก็โตขึ้นทุกวัน แต่ยังไม่โผล่พ้นกระดูกเชิงกรานออกมา ดังนั้นถ้าในสามเดือนแรกหน้าท้องของคุณแม่โตก็แสดงว่าที่โผล่ออกมาไม่ใช่มดลูกหรือลูกในท้อง แต่เป็นไขมันหน้าท้องของคุณแม่เอง เป็นอย่างนี้กันเยอะครับ พอรู้ว่าท้องก็ตั้งหน้าตั้งตากินกันไม่มียั้ง ที่จริงแล้วในช่วงแรกๆ ลูกต้องการอาหารจากแม่น้อยมาก


ปกติแล้วผู้หญิงแต่ละคนมีโครงสร้างแตกต่างกัน คนสะโพกใหญ่ มดลูกก็จะจมอยู่ในเชิงกรานมากกว่า จะขยายออกไปทางหน้าท้องน้อยกว่า อีกทั้งถ้าตัวสูงใหญ่ด้วย มดลูกก็จะขยายขึ้นไปด้านบนได้มากกว่า หน้าท้องจะถูกยืดขยายไปไม่มาก ส่วนคนสะโพกเล็ก ตัวเล็ก มดลูกจะลอยขึ้นไปเร็ว อีกทั้งโครงสร้างที่เล็กทำให้มดลูกต้องขยายหน้าท้องออกไปทางด้านหน้าเยอะกว่าด้วย ทำให้มีปัญหาหน้าท้องยืดขยายมากกว่าคนตัวใหญ่ ยิ่งถ้าลูกตัวใหญ่ด้วย หนังท้องก็จะยิ่งถูกยืดมากไปกันใหญ่

หน้าท้องของผู้หญิงเรา สามารถยืดออกไปได้เหมือนไม่มีขีดจำกัด ขนาดแฝดสามแฝดสี่ยังอยู่ข้างในได้สบายๆ หนังหน้าท้องจะหนาที่สุดทางด้านข้าง และจะบางที่สุดบริเวณรอบสะดือ ผิวหนังรอบสะดือจะถูกขยายกว่าเดิมมากกว่า 9 เท่า จากพื้นที่ 1 ตารางนิ้ว สะดือจะถูกยืดออกไปเป็น 9 ตารางนิ้ว รอยดำๆภายในรูสะดือก็เลยบานออกมา จึงเห็นเหมือนรอบสะดือดำกว่าปกติ สะดือที่เคยเป็นรูลึกก็จะตื้นขึ้นเรื่อยๆจนแบนราบ ก็ถือเป็นโอกาสดีครับสำหรับคนที่สะดือมีขี้ไคลเยอะๆจะได้ล้างทำความสะอาดซะเลย คนที่อ้วนๆหน้าท้องหนามักมีรูสะดือลึกตามความหนาของหน้าท้อง ถ้าผอมๆหน้าท้องไม่หนาสะดือจะบางๆแบนๆ ยิ่งบางคนสะดือถูกดันโป่งออกมาข้างนอก หัวเราะทีสะดือเด้งเข้าเด้งออก เดินมาก็เห็นสะดือโด่นำมาก่อนเลยล่ะครับ


คุณแม่ที่หน้าท้องบางๆอาจมีอาการเจ็บๆแสบๆแถวรอบๆสะดือได้ อาการนี้เกิดขึ้นได้ในคุณแม่ที่ชอบก้มๆเงยๆใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องมาก เวลาเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง ผิวหนังบริเวณสะดือจะเกร็งตึง แต่เนื่องจากที่สะดือบางกว่าส่วนอื่นๆจึงมักเจ็บมากกว่าที่อื่นๆด้วย ซึ่งถ้ามีอาการเจ็บดังกล่าวให้ลดกิจกรรมลง อาการเจ็บก็จะหายเองครับ


คุณแม่หลายคนอาจมีอาการถ่วงท้องน้อย ยิ่งเดินมากก็ยิ่งถ่วงมาก นั่นก็เพราะแรงโน้มถ่วงของโลกจะทำให้ผนังหน้าท้องส่วนล่างๆต้องออกแรงอุ้มมากกว่าส่วนอื่นๆ ท้องแรกก็ไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่พอท้องสองท้องสามผนังหน้าท้องยืดหย่อนยานไปหมดแล้ว ท้องก็จะห้อยยานลงไปที่หน้าขา ยิ่งห้อยลงมามากก็จะยิ่งรู้สึกถ่วงท้องน้อยลง แต่ถ่วงหน้าขามากแทน ถ้ามีอาการถ่วงมากให้ยืนหรือเดินให้น้อยลง พักผ่อนให้มากขึ้น ถ้าจำเป็นต้องยืน หรือเดินมากก็ควรใส่เข็มขัดพยุงครรภ์ หรือกางเกงชั้นในแบบพยุงครรภ์จะช่วยได้บ้าง อาการเหล่านี้จะหายได้เองในช่วงหลังคลอด


ท้องลาย เรื่องใหญ่ของหน้าท้อง
90 เปอร์เซ็นต์ของคุณแม่จะท้องลาย เรื่องท้องลายก็เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่เราก็มีวิธีดูแลตัวเองให้ท้องลายน้อยลง ปกติท้องจะเริ่มลายเมื่ออายุครรภ์ได้ประมาณ 28 สัปดาห์ โดยจะลายมากขึ้นไปเรื่อยๆแล้วก็หยุดตอนประมาณ 32 สัปดาห์ หลัง 32 สัปดาห์ ถ้าหายและไม่ลายก็จะไม่ลายอีก หากลายไปแล้วก็จะไม่ค่อยลายมากขึ้น ดังนั้นช่วงนี้แหละครับที่ต้องสนใจดูแลตัวเองเป็นพิเศษ ควรดูแลอาหารการกินให้น้ำหนักขึ้นตามเกณฑ์ ถ้าน้ำหนักขึ้นเยอะ หน้าท้องจะขยายตัวมากตามไปด้วย ท้องก็จะลายง่าย


พยายามหลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อน เพราะจะทำให้ผิวแห้งมาก ยิ่งทาแป้งก็ยิ่งทำให้ผิวแห้งไปกันใหญ่ ให้ทาครีมบำรุงผิวเป็นดีที่สุด ผิวที่นุ่มชุ่มชื้นย่อมยืดหยุ่นได้ดีกว่าผิวแห้งๆ หลังอาบน้ำก่อนนอนก็ให้คุณสามีนี่แหละช่วยทาครีมที่หน้าท้องให้ เรื่องท้องลายนี้ก็ต้องยึดหลักกันไว้ดีกว่าแก้ เพราะหากปล่อยให้ท้องลายไปแล้ว ไม่ว่าจะทำศัลยกรรมตกแต่งยังไงมันก็ยังลายไม่หายอยู่ดี


3 เดือนหลังคลอด โอกาสทองของความงาม
ในช่วงหลังคลอดน้ำหนักจะลด หุ่นจะลดชัดเจนในสามเดือนแรกเท่านั้น หลังจากนั้นจะไม่ค่อยลดแล้วครับ พอคลอดเสร็จปั๊บก็เริ่มลดน้ำหนักกันได้เลย อันดับแรกคุณแม่ต้องพยายามเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้ได้ กินนมแม่อย่างเดียวนี่แหละ เพราะในระหว่างการตั้งครรภ์ อาหารส่วนเกินจะไปสะสมที่ไขมันหน้าท้อง ไขมันต้นขาของคุณแม่เยอะ ตอนให้นมลูกร่างกายจะใช้ไขมันที่สะสมเหล่านี้ไปสร้างน้ำนมด้วย ดังนั้นยิ่งลูกกินนมแม่ไปเท่าไหร่ ก็มีผลพลอยได้ทำให้ไขมันของแม่ลดลงไปด้วยเท่านั้น


เรื่องอาหารการกินสำคัญ จริงๆแล้วน้ำนมจะเยอะหรือน้อยไม่ได้ขึ้นกับอาหารการ กินสักเท่าไหร่ กินตั้งเยอะแต่น้ำนมไม่ไหลเลยก็มี น้ำนมเยอะขึ้นอยู่กับการที่ลูกได้ดูดนมอย่างสม่ำเสมอมากกว่า หลังคลอดมีไขมันสะสมตกค้างอยู่ที่หน้าท้องเยอะอยู่แล้ว ยิ่งกินมากยิ่งไปสะสมเพิ่มขึ้น เลยยิ่งอ้วนไปกันใหญ่

หลักสำคัญของการกินอาหารในช่วงหลังคลอดก็แค่ "กินดี แต่ไม่ต้องกินเยอะ" เลือกกินอาหารประเภท โปรตีน ผักสดผลไม้ นมสดพร่องมันเนย และหลีกเลี่ยงอาหารประเภท แป้ง ไขมัน และน้ำตาล กินข้าวน้อยหน่อย กินกับข้าวเยอะหน่อย ไม่กินขนม ของหวาน ของมันๆทั้งหลาย แค่นี้ก็ช่วยได้พอสมควร


อันสุดท้ายคือ ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หากให้ลูกกินนมแม่ดี คุมอาหารดีด้วย น้ำหนักลดลงเท่าตอนที่ยังไม่ท้อง แต่หน้าท้องมันยังไม่สวยเหมือนเดิมอยู่ดี เพราะหนังหน้าท้องมันจะหย่อน แบบนี้เขาเรียกว่า "ผอมแบบสีเทา" ผอมแต่พุงจะโป่งห้อยอยู่ข้างล่าง ถ้าจะให้สวยก็ต้องออกกำลังกายโดยการซิตอัพทุกวัน วันละอย่างน้อย 30 ครั้งครับ

ตอนเช้าตื่นขึ้นมาก็เกร็งหน้าท้องเอาเข่ายกขึ้นมาชนหัวเกร็งไว้สักแป๊บหนึ่ง ทำประมาณ 10 ครั้ง พอตอนเที่ยงและตอนเย็นก็ทำอีกรอบละ 10 ที ถ้าขยันหน่อยก่อนนอนก็อีกสักรอบ เท่ากับวันหนึ่งคุณแม่จะบริหารหน้าท้องได้เยอะพอสมควร ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ กล้ามเนื้อหน้าท้องที่ถูกมดลูกขยายดันออกมาจนหย่อนจะค่อยๆตึงตัวแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ หน้าท้องก็จะแบนราบลงเรื่อยๆจนแบนแต๊ดแต๋ แบบนี้เขาเรียกว่า "ผอมแบบสิเรียม" และสิ่งสำคัญที่สุดของการออกกำลังกายก็คือ ความตั้งใจตัวเดียวนั่นเองล่ะครับ ส่วนมากที่เห็นห้อยๆกันอยู่ทุกวันนี้เพราะทำแค่วันสองวันก็ขี้เกียจทำแล้ว ไปหาสเตย์มาใส่ดีกว่า

ที่จริงผมก็ไม่ชอบให้ใส่สเตย์นะครับ มันเหมือนเป็นการหลอกตัวเอง ที่สำคัญการใส่สเตย์ยังทำให้คนเราไม่กระตือรือร้นที่จะออกกำลังกาย เห็นภายนอกหุ่นดีเป็นที่พอใจก็เลยเลิกบริหารซะเลย ไม่ต้องไปใส่สเตย์มันหรอกครับ ให้เห็นหุ่นตัวเอง ทรมานใจตัวเองดี สุดท้ายก็ทนตัวเองไม่ได้ จำยอมต้องบริหารจนพุงยุบไปเองจนได้

ขอบคุณนิตยสาร modernmom